Last updated: 28 ม.ค. 2567 | 129 จำนวนผู้เข้าชม |
เนสกาแฟ แบรนด์กาแฟอันดับ 1 ของคนไทยจากเนสท์เล่ เปิดศักราชใหม่ เดินหน้าสร้างการมีส่วนร่วมให้กับคอกาแฟอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเปิดตัวแคมเปญส่งต่อแรงบันดาลใจ ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบ 10 ปี “NESCAFÉ Make Your World” โลกของคุณ สร้างแรงบันดาลใจให้ใครอีกหลายคน ทุ่มงบกว่า 1,000 ล้านบาท รุกตลาดกาแฟมูลค่ากว่า
8 หมื่นล้านบาท ผ่าน 3 กลยุทธ์ปลุกโลกคอกาแฟ
วิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า เล่าว่า ปี 2023 เป็นปีที่เนสกาแฟประสบความสำเร็จสูงสุดด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดโดยรวมสูงสุดในรอบ 5 ปี ในฐานะผู้นำระดับโลกและแบรนด์กาแฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก เรารู้ดีว่า โลกมีการเปลี่ยนแปลงไปและผู้บริโภคก็มีความต้องการที่เปลี่ยนไปเช่นกัน
เนสกาแฟจึงพัฒนาจุดยืนของแบรนด์ให้แข็งแกร่ง พัฒนาจากการเป็นเครื่องดื่มประจำวันที่ทำให้ผู้คนตื่น มาเป็นเครื่องดื่มที่สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีคุณค่า ในวันนี้ เราภูมิใจมากที่ประเทศไทยเป็นประเทศแรกๆ ที่ได้เปิดตัว “NESCAFÉ Make Your World”้
ทั้งนี้เป็นแนวคิดระดับโลกของเนสกาแฟสื่อสารหัวใจแบรนด์ในการเปิดรับสิ่งดีๆ มองโลกในแง่ดี และสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนบนโลกทุกวัน พร้อมสะท้อนถึงการนำความเชี่ยวชาญและขนาดในการดำเนินธุรกิจครอบคลุมทั่วโลกของเนสกาแฟ มาเปิดพลังกาแฟได้อย่างลงตัว
ศรีประภา จิงประเสริฐสุข ผู้จัดการธุรกิจกาแฟสำเร็จรูปและครีมเทียม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เล่าว่า สำหรับ “NESCAFÉ Make Your World” ในประเทศไทย ถูกพัฒนาภายใต้บริบทของคนไทยเพื่อเข้าถึงคอกาแฟอย่างต่อเนื่อง เนสกาแฟตั้งใจนำคอนเซ็ปต์ดังกล่าวส่งมอบให้คนไทยได้สัมผัสผ่านกลุ่มผลิตภัณฑ์กาแฟที่หลากหลายตอบโจทย์คอกาแฟชาวไทย
โดยหนึ่งในไฮไลต์คือการปล่อยภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ซึ่งถึงเป็นครั้งแรกกับการเปิดตัวโฆษณาโทรทัศน์ความยาว 90 วินาที กับ 6 เรื่องจริงที่สร้างแรงบันดาลใจ จัดเต็มสื่อเข้าถึงคนไทยทั่วประเทศ รวมทั้งเดินหน้าจัดงานระดับเมกะอีเวนต์ให้คอกาแฟตลอด 9 วันเต็ม โดยคาดว่าแคมเปญนี้จะเข้าถึงผู้บริโภคกว่า 50 ล้านคนทั่วประเทศ และตอกหมุดความเป็นผู้นำตลาดกาแฟในประเทศไทยของเนสกาแฟอย่างเหนียวแน่น
แนวคิด “Make Your World โลกของคุณ สร้างแรงบันดาลใจให้ใครอีกหลายคน” มุ่งสะท้อนว่า เราทุกคนไม่รู้หรอกว่า แต่ละคนจะมีอิทธิพลต่อโลกใบนี้แค่ไหน ในทุกๆ วันที่คุณปลุกตัวเองออกไปใช้ชีวิต คุณได้กำลังปลุกโลกของใครอีกหลายคนและหมุนโลกของเราไปข้างหน้า ความสนุกของคุณอาจทำให้คนอื่นยิ้มได้แบบไม่รู้ตัว
ความมุ่งมั่นที่คุณลงมือทำบางสิ่ง อาจเป็นแรงบันดาลใจให้ใครบางคน หรือ การไม่อ่อนข้อให้กับสิ่งธรรมดา อาจสร้างมาตรฐานใหม่ เปิดมุมมองใหม่ให้กับโลก ซึ่งแนวคิดนี้เป็นสิ่งที่ใกล้ตัวและอยู่ในชีวิตประจำวันของทุกคน
เนสกาแฟในฐานะแบรนด์ผู้นำตลาดที่อยู่เคียงข้างคนไทยตลอดมา มีความตั้งใจที่จะสนับสนุนให้ทุกคนมองเห็นคุณค่าและความสำคัญในทุกๆ การกระทำของตัวเองที่มีต่อทั้งคนรอบข้างและโลกของเรา และมุ่งมั่นเป็นกาแฟแก้วที่อยู่เคียงข้างคุณเสมอในการสร้างความเปลี่ยนแปลงเพื่อโลกที่ดีขึ้น
ในปีนี้เนสกาแฟมุ่งขับเคลื่อน 3 กลยุทธ์ปลุกโลกคอกาแฟ เริ่มต้นด้วย กลยุทธ์ที่ 1 ปักหมุดจุดยืนแบรนด์ ไม่ใช่แค่เครื่องดื่มที่ปลุกให้ตื่น แต่ปลุกแรงบันดาลใจให้คนไทย จากการเป็นเครื่องดื่มกาแฟยอดขายอันดับหนึ่งที่ปลุกให้ทุกคนตื่นในแต่ละวัน มาเป็นเครื่องดื่มที่สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนออกมาสร้างการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ให้กับโลกของเรา
ส่งเสริมให้ผู้คนมองเห็นศักยภาพของตัวเอง โดยมีเนสกาแฟของเราเป็นตัวช่วยที่จะปลุกคุณออกไปชีวิตอย่างเต็มศักยภาพ พร้อมคว้าโอกาสดีๆ ในแต่ละวัน เริ่มด้วยการเปิดตัว ภาพยนตร์โฆษณาชุด “NESCAFÉ Make Your World” จาก 6 เรื่องจริงของบุคคลต้นแบบและพรีเซนเตอร์ของเนสกาแฟ ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของโลกแต่ละใบที่ทำสิ่งเล็กๆ แต่สามารถเป็นแรงขับเคลื่อนสู่สร้างการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นถึงคนรอบข้างและโลกของเรา
ที่พิเศษไปกว่านั้น คือ เนสกาแฟยังได้นำเอาเพลงฮิตที่ทุกคนคุ้นเคยอย่าง “เธอหมุนรอบฉัน ฉันหมุนรอบเธอ” มาเรียบเรียงใหม่และร้องโดยเจฟและเจมีไนน์ เพื่อเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์โฆษณา ซึ่งจะเริ่มออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ และสื่อดิจิทัลตั้งแต่วันที่ 11 มกราคม 2567 เป็นต้นไป
พร้อมทั้งต่อยอดสู่การจัดงานอีเวนต์ครั้งยิ่งใหญ่ส่งต่อแรงบันดาลใจให้คนไทยในงาน “NESCAFÉ Make Your World” ระหว่างวันที่ 13-21 มกราคม 2567 ณ EM Market Hall ชั้น G เอ็มสเฟียร์
โดยภายในงานประกอบด้วยโซนกิจกรรมมากมาย เช่น การสร้างสรรค์โลกของคุณด้วยเทคโนโลยี AI สุดล้ำ และสนุกกับ Immersive Painting ที่สร้างการเข้าถึงและสร้างแรงบันดาลให้กับผู้บริโภค ในการมีส่วนร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงในแบบของตัวเอง
นอกจากนี้ตามมาติด ๆ กับแผนการเปิดตัวแคมเปญและกิจกรรมเพื่อผู้บริโภคภายใต้คอนเซ็ปท์ “NESCAFÉ Make Your World” อย่างต่อเนื่องจากแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์ เริ่มด้วย เนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู ที่จะประเดิมจัดงาน Perfect Mix ในวันที่ 26-28 มกราคม 2567 ที่สยามสแควร์วัน
กลยุทธ์ที่ 2 นำเสนอผลิตภัณฑ์กาแฟที่หลากหลายตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความชื่นชอบที่แตกต่างของคอกาแฟชาวไทย เนสกาแฟให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการพัฒนาสินค้าให้ทันยุคสมัย ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และเดินหน้าต่อเพื่อส่งมอบสินค้าที่มีคุณภาพอย่างไม่หยุดยั้ง ด้วย 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ 1) การผสมผสานที่ลงตัวสู่รสชาติที่กลมกล่อม กับเนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู กาแฟปรุงสำเร็จ ที่มีหลากหลายถึง 7 รสชาติ
2) รสชาติกาแฟแท้จากจิตวิญญาณของเมล็ดกาแฟคุณภาพสูงใน เนสกาแฟ เรดคัพ 3) กาแฟที่คราฟต์ในทุกรายละเอียดโดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อยกระดับประสบการณ์กาแฟพรีเมียม กับเนสกาแฟ โกลด์ 4) ความเข้มเต็มรสชาติที่ส่งมอบพลังขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย จาก เนสกาแฟกระป๋อง โดยเนสกาแฟตั้งเป้าแจกผลิตภัณฑ์ส่งถึงมีผู้บริโภคชาวไทยทั่วประเทศตลอดทั้งปีผ่านคาราวาน โรดโชว์ และกิจกรรมชงชิมรวมกว่า 5.5 ล้านแก้วทั่วประเทศ
กลยุทธ์ที่ 3 สานต่อโครงการด้านความยั่งยืนช่วยเหลือเกษตรกรไทย ด้วยการเกษตรเชิงฟื้นฟู เนสกาแฟมุ่งดำเนินงานความยั่งยืนภายใต้โครงการเนสกาแฟ แพลนใน 2 ด้านหลัก ได้แก่ การพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ โดยกว่า 40 ปีแล้วที่เนสกาแฟได้ฝึกอบรมเกษตรกรกว่า 2,900 คน และมอบต้นกล้ากาแฟพันธุ์ดีให้เกษตรกว่า 4 ล้านต้น ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
โดยรายได้สุทธิจากฟาร์มปลูกกาแฟเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 88% ในปี 2565 เมื่อเทียบกับปี 2561 และด้านที่ 2 คือการส่งเสริม “การเกษตรเชิงฟื้นฟู” (Regenerative Agriculture) เพื่อดูแลและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นกว่าเดิม โดยผลิตภัณฑ์ของเนสกาแฟ ในประเทศไทย ได้ผ่านการจัดหาเมล็ดกาแฟด้วยความรับผิดชอบอย่างยั่งยืน 100%
นอกจากนี้ เนสกาแฟยังมุ่งมั่นในการเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ให้สามารถนำไปรีไซเคิลได้ โดยมีนวัตกรรมด้านบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก ได้แก่ ซองเนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู ที่เปลี่ยนมาใช้พลาสติกตระกูลเดียวกัน หรือ Mono Structure เนสกาแฟกระป๋องพร้อมดื่ม ที่ผลิตจากอะลูมิเนียม 100%
และบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากกระดาษในกลุ่มผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู น้ำตาลน้อยและเนสกาแฟ โพรเทค โพรสลิม ทั้งนี้ โครงการด้านความยั่งยืนของเนสกาแฟทั้งหมดจะมีส่วนช่วยให้เนสท์เล่บรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2050
10 ก.ย. 2567